วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

บทที่ 4 วัฒนธรรมประเพณีการแสดงของภาคอีสาน

วัฒนธรรมประเพณีการแสดงของภาคอีสาน
วัฒนธรรมประเพณีการแสดงของภาคอีสาน
การแสดงของภาคอีสาน
                ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถแบ่งเรื่องการละเล่นพื้นเมืองได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ
                1. กลุ่มอีสานเหนือ ซึ่งสืบทอดวัฒนธรรมมาจากกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขง ที่เรียกว่า กลุ่มไทยลาว หรือกลุ่มหมอลำ หมอแคน ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีมากที่สุดในภาคอีสาน
                2. กลุ่มอีสานใต้ แบ่งออกได้อีก 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่สืบทอดวัฒนธรรมเขมร - ส่วย หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเจรียง - กันตรึม"
กลุ่มวัฒนธรรมโคราช หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเพลงโคราช"
ถ้าพิจารณาถึงประเภทของเพลงพื้นเมืองอีสาน โดยยึดหลักเวลา และโอกาสในการขับร้องเป็นหลัก สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
                1. เพลงพิธีกรรม
กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ การลำพระเวสหรือการเทศน์มหาชาติ การแหล่ต่างๆ การลำผีฟ้ารักษาคนป่วย การสวดสรภัญญะ และการสู่ขวัญในโอกาสต่างๆ ฯลฯ
กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวสุรินทร์ ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า "เรือมมม็วต" จะช่วยให้คนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการทุเลาลงได้ ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องมีหัวหน้าหรือครูมม็วตอาวุโสทำหน้าที่เป็นผู้นำพิธีต่างๆ และเป็นผู้รำดาบไล่ฟันผีหรือเสนียดจัญไรทั้งปวง
                2. เพลงร้องเพื่อความสนุกสนาน
กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ หมอลำ ซึ่งแบ่งได้ 5 ชนิด คือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน หมอลำผีฟ้า
กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ กันตรึม เจรียง เพลงโคราช
                ปัจจุบันมีการแสดงชุดใหม่ที่สถาบันต่างๆ ของภาคอีสานแต่ละกลุ่มได้ประดิษฐ์การฟ้อนรำขึ้นใหม่ ทำให้มีผู้แบ่งศิลปะการฟ้อนทั้งชุดเก่า และชุดใหม่ที่ปรากฏอยู่ของภาคอีสานออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะออกมาในรูปของการแสดงพื้นเมือง ได้แก่
                1. การฟ้อนเลียนกิริยาอาการของสัตว์ เช่น กระโนบติงตอง แมงตับเต่า และกบกินเดือน ฯลฯ
                2. การฟ้อนชุดโบราณคดี เช่น ระบำบ้านเชียง รำศรีโคตรบูรณ์ ระบำพนมรุ้ง และระบำจัมปาศรี
                3. การฟ้อนประกอบทำนองลำนำ เช่น ฟ้อนคอนสวรรค์ รำตังหวาย เซิ้งสาละวัน และเซิ้งมหาชัย
                4. การฟ้อนชุดชุมนุมเผ่าต่างๆภูไท 3 เผ่า คือ เผ่าไทภูพาน รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์ และเผ่าไทยโคราช
                5. การฟ้อนเนื่องมาจากวรรณกรรม เช่น มโนห์ราเล่นน้ำ
                6. การฟ้อนเซ่นสรวงบูชา เช่น ฟ้อนภูไท แสกเต้นสาก โส้ทั่งบั้ง เซิ้งผีหมอ ฟ้อนผีฟ้า ฟ้อนไทดำ เรือมปัลโจล ฟ้อนแถบลาน รำบายศรี เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางด้ง รำดึงครกดึงสากและเซิ้งเชียงข้อง ฯลฯ
                7. การฟ้อนศิลปาชีพ เช่น รำตำหูกผูกขิก ฟ้อนทอเสื่อบ้านแพง เรือมกลอเตียล (ระบำเสื่อ) เซิ้งสาวย้อตำสาด รำปั้นหม้อ รำเข็นฝาย เซิ้งสาวไหม รำแพรวา เซิ้งข้าวปุ้น รำบ้านประโคก เซิ้งปลาจ่อม เซิ้งแหย่ไข่มดแดง และเรือมศรีผไทสมันต์ ฯลฯ
                8. การฟ้อนเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เช่น เซิ้งแคน ฟ้อนชุดเล่นสาว เป่าแคน รำโปงลาง ฟ้อนกลองตุ้ม เซิ้งกะโป๋ เซิ้งทำนา เซิ้งสวิง เซิ้งกะหยัง รำโก๋ยมือ รำกลองยาวอีสาน ระบำโคราชประยุกต์ เรือมอันเดรเรือมซันตรูจน์เรือมตลอก (ระบำกะลา) และเรือมจับกรับ ฯลฯ
ตัวอย่างการแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน
                * หมอลำอีสาน
หมอลำ แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ หมอลำผีฟ้า หมอลำพื้น หมอลำกลอน และหมอลำหมู่
                เซิ้งโปงลาง 
                เซิ้งโปงลาง เป็นการแสดงของชาวไทยภาคอีสาน นิยมเล่นกันมากใน จังหวัดกาฬสินธุ์ การแสดงจะมีทั้งหญิงและชาย ใช้ท่ารำที่ประดิษฐ์ขึ้นตามทำนองเพลง อันเกิดจากความบันดาลใจ ด้วยลีลาแคล่วคล่องว่องไว ใช้ดนตรีโปงลางซึ่งเป็นเครื่องดนตรีทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ร้อยต่อกันเหมือนระนาดแต่ใหญ่กว่า ใช้ผู้ตีสองคน คนตีคลอเสียงประสาน เรียกว่า ตีลูกเสิฟ และอีกคนตีเป็นทำนอง เรียกว่า ตีลูกเสพ มีจังหวะที่เร้าใจและสนุกสนาน เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง โปงลาง, แคน, พิณ, ซอ, ฉาบ, ฉิ่ง, กลอ
                การแสดงฟ้อนรำภาคอีสาน
                ฟ้อนหมากกั๊บแก้บ-ลำเพลิน
                หมากกั๊บแก้บ(กรับ) เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะของภาคอีสาน มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ
1. กั๊บแก้บไม้สั้น เป็นไม้ผิวเรียบยาวประมาณ 4-6 นิ้ว
2. กั๊บแก้บไม้ยาว เป็นไม้ผิวเรียบมีการหยักร่องฟันปลา เพื่อขูดกันให้เกิดเสียง การเล่นหมากกั๊บแก้บนั้น สามารถเล่นได้ทุกโอกาสที่มีการบรรเลงดนตรีพื้นบ้าน และผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะแต่งกายเหมือนชาวอีสานโบราณ คือนุ่งผ้าเตี่ยวมีการสักลวดลายบนร่างกาย ปัจจุบันไม่นิยมการสักจึงมักจะใช้สีเขียนลวดลายขึ้นแทน เช่นลายเสือผงาด ลายหนุมานถวายแหวน ลายนกอินทรี ลายมอม ลายสิงห์ เป็นต้น
                การเล่นหมากกั๊บแก้บ เป็นการเล่นที่ไม่มีรูปแบบตายตัว สุดแท้แต่ใครมีความสามารถในการแสดงออกถึงลีลาท่าทางที่โลดโผนให้เป็นที่ประทับใจของหญิงสาวได้มากน้อยเพียงใด หากเล่นกันเป็นคู่มีฝ่ายรุกฝ่ายรับ แล้วเปลี่ยนลีลาสลับกันก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและปฏิภาณของผู้เล่น ลำเพลิน เป็นการขับลำอีกประเภทหนึ่งของชาวอีสาน สันนิษฐานว่าการขับลำเพลินมาจากการลำทำนองตีกลองน้ำเพราะจังหวะลีลาท่วงทำนองคล้ายคลึงกันมาก
                หมอลำเพลิน ถือกำเนิดขึ้นมาในสมัยใดไม่สามารถระบุหลักฐานได้แน่ชัด แต่ก็เป็นทำนองกลอนลำที่นิยมกันอย่างกว้างขวางทั้งในภาคอีสานและประเทศลาว ตั้งแต่ พ.ศ.2505 จนถึงปัจจุบัน บางคนก็เรียกทำนองหมอลำชนิดนี้ว่าหมอลำแก้วหน้าม้า อันเนื่องมาจาก แต่เริ่มเดิมทีนั้นหมอลำเพลินนิยมเล่นเรื่อง แก้วหน้าม้าเพียงอย่างเดียว ในสมัยต่อมาก็มีการเล่นเรื่อง ขุนช้างขุนแผนซึ่งชาวอีสานจะนิยมเรียกว่า ขุนแผน-ลาวทองเพราะนิยมเล่นตอนนางลาวทองเขียนสาสน์ ปัจจุบัน ลำเพลินพัฒนาตนเองไปอย่างรวดเร็ว จึงนิยมนำเอาวรรณกรรมและนิทานพื้นบ้านมาใช้เล่นกันอย่างกว้างขวาง
                ความไม่พิถีพิถัน ของคณะหมอลำและผู้จัดการวงหมอลำในปัจจุบัน ทำให้ภาพลักษณ์ของหมอลำเพลิน เกือบจะสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอีสานเพราะในขณะนี้หมอลำเพลินแทบทุกคณะนิยมนำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ในการบรรเลงเพลงประกอบการแสดงแทบจะไม่เหลือความเป็นขนบดั้งเดิมของหมอลำ กลอนลำที่ใช้ก็ไม่ไม้ถูกต้องตรงกับเนื้อเรื่องมักจะลำไปเรื่อยๆตามคำกลอนของผู้เขียนเพลง
                จุดเด่นของการฟ้อนหมากกั๊บแก้บ-ลำเพลินอยู่ที่จังหวะลีลาท่วงทำนองดนตรี ประกอบกับท่าฟ้อนของชาวอีสาน เช่น ท่าถวยแถน ท่าหมาเยี่ยว ท่าลอยปลากระเดิด ท่าเสือตะครุบ ท่าดาวน้อย ท่าลำเพลินท่าบัวหุบ-บัวบาน ท่าส่าย ท่าเนิ้ง ฯลฯ ดนตรีบรรเลงลายแมงตับเต่า และทำนองหมอลำอัศจรรย์ลายลำเพลิน
                การแต่งกาย
- ชาย สวมเสื้อยันต์แขนกุดสีขาวขอบชายเสื้อสีแดง นุ่งผ้าลายโสร่ง เป็นโจงกระเบนรั้งสูงถึงต้นขา ม้วนปลายผ้าสอดไปด้านหลัง (เรียกลักษณะการนุ่งผ้าเช่นนี้ว่า การนุ่งแบบเสือลากหาง) มัดศีรษะด้วยผ้าขาวม้า และมัดเอวด้วยผ้าขิด
- หญิง สวมเสื้อแขนกระบอก ห่มทับด้วยสไบขิด นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ยาวคลุมเข่า ผมเกล้ามวยประดับมวยผมด้วยดอกไม้ และสวมเครื่องประดับเงิน
                ฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์
                ชาวภูไทดำในจังหวัดกาฬสินธุ์ อาศัยอยู่ในเขตอำเภอสหัสขันธุ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอเขาวง อำเภอคำม่วง และอำเภอสมเด็จ การฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์ เป็นการฟ้อนประกอบทำนองหมอลำภูไท ซึ่งเป็นทำนองพื้นเมืองประจำชาชาติพันธุ์ภูไท ซึ่งปกติแล้วการแสดงหมอลำภูไท มักจะมีการฟ้อนรำประกอบกันไปอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์ในแต่ละอำเภอหรือหมู่บ้าน จะมีท่าฟ้อนที่แตกต่างกัน การฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์ เป็นการฟ้อนที่ได้การปรับปรุงท่ามาจากท่าฟ้อนภูไท ท่าฟ้อนในเซิ้งบั้งไฟ และท่าฟ้อนดอนตาล ประกอบด้วยท่าฟ้อนไหว้ครู ท่าเดิน ท่าช่อม่วง ท่ามโนราห์ ท่าดอกบัวบาน ท่ามยุรี ท่ามาลัยแก้ว ฯลฯ ซึ่งผู้ฟ้อนจะเป็นผู้หญิงทั้งหมด ท่าฟ้อนของชาวภูไทได้ถูกรวบรวมโดย นายมณฑา ดุลณี ร่วมกับกลุ่มแม่บ้านชาวภูไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นผู้คิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนภูไทให้เป็นระเบียบ 4 ท่าหลัก ส่วนท่าอื่นๆนั้น คณะครูหมวดนาฏศิลป์พื้นบ้าน วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ เป็นผู้คิดประดิษฐ์โดยได้นำเอาการฟ้อนของชาวภูไทในจังหวัดกาฬสินธุ์ อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ และอำเภอคำม่วง รวบรวมเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งเมื่อเสร็จเรียบร้อย จึงได้ทำการแสดงครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2537 ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร
                เครื่องดนตรี แบบดั้งเดิม ใช้ แคน กลองกิ่ง กลองตุ้ม กลองแตะ กลองยาว ฆ้องโหม่ง พังฮาดไม้กั๊บแก๊บ สำหรับวงโปงลาง ใช้เครื่องดนตรีครบชุดของวงโปงลาง ลายเพลง ใช้ลายภูไทน้อย
การแต่งกาย
                สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ แนวปกคอเสื้อและแนวกระดุมตกแต่งด้วยผ้าแถบลายแพรวาสีแดง กุ๊นขอบลายผ้าด้วยผ้ากุ๊นสีเหลืองและขาว ประดับด้วยกระดุมเงิน ห่มผ้าสไบไหมแพรวาสีแดง นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ภูไทมีตีนซิ่นยาวคลุมเข่า ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยผ้าแพรมน หรือผ้าแพรฟอย และสวมเครื่องประดับเงิน
                กลอนลำภูไทกาฬสินธุ์ (วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์)
โอยนอ.... ท่าน ผู้ฟังเอ้ย
บัดนี้ หันมาเว้า ทางภูไทกันตอนต่อ ขอเชิญพวกพี่น้อง ที่มาซ้อง ให้รับฟัง เจ้าเอ้ย เจ้าเอย
ชายเอ้ยเพิ่นว่าเมืองกาฬ์สินธุ์นี้ ดินดำ ดอกน้ำชุ่ม มีพ่องปลากุ่มบ้อน ดอกคือแข้เจ้าแก่งหาง
คันว่าปลานางบ้อน คือขางดอกฟ้าลั่น บัดว่าจั๊กจั่นฮ้อง ๆ ดอกคือฟ้าเจ้าล่วงบน อ้ายเอ้ย อ้ายเอย
ชายเอ้ย อันว่าเมืองกาฬ์สินธุ์นี้ มีของดี เจ้าหลายอย่าง ประเพณีบ่ว่าง บ่ลืมฮีตแม่นเก่าเดิม
ชายเอ้ย อันว่าเมืองฟ้าแดด สงยางถิ่นเก่า ถิ่นโบราณแต่เค้า อยากเชิญเจ้าไปเที่ยวชม อ้ายเอ้ย อ้ายเอย
ชายเอ้ย เชิญไปชมผืนผ้า ล้ำค่าแพรวาไหม ชื่อเสียงเขาดังไกล ส่าไปซุเมืองบ้าน
ส่วนว่าโปงลางนั่น ของสำคัญแต่เก่าก่อน ตาออนซอนบัดได้พ้อ ๆ บ่ลืมน้องผู้เดี่ยวโปง อ้ายเอ้ย อ้ายเอย
โอย.. นอ.... โอย... นา... สวยเลิงเลิง น้องนี่เอย... นา

ชายเอ้ย เที่ยวบ่เบื่อดอกเมืองฟ้า ขึ้นชื่อว่ากาฬสินธุ์ เมืองเสียงพิณ ลำปาว หมู่ไดโนเสาร์นั่น
ทั้งภูสิงห์ ภูค่าว ภูปอ ธาตุยาคู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดอกคู่บ้าน ๆ สถิตแน่นแม่นคู่เมือง อ้ายเอ้ย อ้ายเอย

ชายเอ้ย คันว่าสาวภูไทนี่ สาวผู้ดีที่เขาส่า สาวเขาวงนั่นนา ว่างามล้ำ ลื่นไผ แท้เด้
ชายเอ้ย สาวภูไทบัวขาวนั่น งามคือกันบ่ออ้ายว่า สาวคำม่วงพุ่นนา ๆ กะคือด้ามดั่งเดียว กันนา อ้ายเอย

ชายเอ้ย เว้ามาฮอดบ่อนนี้ น้องพี่สิลาลง ขอลาไลคืนเมือ สู่เมืองกาฬ์สินธุ์พุ้น
ขอขอบคุณเด้อลุงป้า อาวอา พ่อและแม่ บัดเมื่อคราวหน้าพุ้น ๆ คงสิได้ดอกพบกัน เจ้าเอ้ย เจ้าเอย
                ฟ้อนแม่บทอีสาน
                ความเป็นมา
                ในปี พ.ศ.2522 วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ได้จัดตั้งขึ้นเป็นวิทยาลัยนาฏศิลป์แห่งแรกในภาคอีสาน เปิดทำการเรียนการสอนด้านวิชาสามัญ และดนตรีนาฏศิลป์ทั้งที่เป็นของราชสำนักและพื้นบ้านอีสาน โดยเฉพาะศิลปะพื้นบ้านอีสานได้เชิญหมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน มาสอนหมอลำ อาจารย์ทองคำไทยกล้า สอนเป่าแคน อาจารย์ทรงศักดิ์ ประทุมศิลป์ สอนโปงลาง โหวดและพิณ และอาจารย์ทองจันทร์ สังฆะมณี เป็นผู้สอนการฟ้อนรำ ในปีพ.ศ. 2523 นายชวลิต มณีรัตน์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด มีความเห็นว่า ท่าฟ้อนของคนอีสานนั้น ล้วนมีที่มาจากสิ่งต่างๆเช่น
                1. มาจากการเคลื่อนไหวอิริยาบถของสัตว์ เช่น ท่าเสือออกเหล่า ท่าเต่าลงหนอง ท่ายูง เป็นต้น
                2. มาจากธรรมชาติ เช่น ท่าลมพัดพร้าว
                3. มาจากวรรณกรรมท้องถิ่น เรื่องพระลัก-พระราม เช่น ท่าทศกัณฐ์โลมนาง ท่าหนุมานถวายแหวน
จึงควรนำท่าฟ้อนเหล่านนี้มาผนวกเข้าด้วยกัน แล้วจัดทำเป็นท่าแม่บทแบบมาตรฐานของอีสาน เพื่อใช้การเรียนการสอนด้านนาฏศิลป์พื้นเมือง และจะได้นำออกแสดงงานเผาเทียนเล่นไฟที่จังหวัดสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ.2525จึงได้มอบหมายให้อาจารย์ฉวีวรรณ ดำเนิน(พันธุ) นายจีรพล เพชรสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการและคณะครูศิลปะพื้นเมืองไปดำเนินการศึกษาค้นคว้าและเก็บข้อมูลท่าฟ้อนอีสาน จากหมอลำที่มีชื่อเสียงหลายๆท่าน เช่น หมอลำเคน ดาหลา หมอลำเปลี่ยน วิมลสุข หมอลำจันทร์เพ็ญ นิตะอินทร์ หมอลำสุบรรณ พะละสูรย์ และหมอลำชาลี ดำเนิน ผู้เป็นบิดาของอาจารย์ฉวีวรรณ ดำเนิน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาท่าฟ้อนผีฟ้าอีกด้วย แล้วได้นำมารวบรวมเรียบเรียงท่าฟ้อนแล้วแต่งกลอนลำให้เสร็จสมบูรณ์ในเดือนเมษายน พ.ศ.2525แล้วได้นำออกแสดงงานเผาเทียนเล่นไฟที่จังหวัดสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ.2525
                วาดฟ้อนประกอบกลอนลำแม่บทอีสาน
                อาจารย์ฉวีวรรณ ดำเนิน(พันธุ) ได้กล่าวถึงที่มาของท่าฟ้อนแม่บทอีสานว่า ได้รับการถ่ายทอดมาจาก หมอลำชาลี ดำเนิน ผู้เป็นบิดา นอกจากนั้น ก็ได้มาจากหมอลำอาวุโสที่มีชื่อเสียงซึ่งมีท่าฟ้อนสวยงามแปลกตา จึงได้มารวมกับท่าฟ้อนของตนที่มีอยู่แล้ว เขียนลำดับกลอนลำแม่บทอีสานขึ้นมา เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนและการแสดงซึ่งในแต่ละท่าที่ได้รวบรวมมา ก็ได้มาจากหมอลำที่มีชื่อเสียง ดังนี้
                1.ได้มาจากหมอลำชาลี ดำเนิน ผู้เป็นบิดา ถ่ายทอดให้ทั้งหมด 19 ท่า ได้แก่
- ท่าหยิกไหล่ลายมวย - ท่าลำเพลิน - ท่าตีกลองกินเหล้า - ท่าหงส์บินเวิ่น
- ท่าตาขำตีงัว - ท่าคนเมาเหล้า - ท่าอีแหลวบินเซิ่นเอาไก่น้อย - ท่าอีเกียจับไม้
- ท่าสาวน้อยประแป้ง - ท่าตำข้าว - ท่าเต่าลงหนอง - ท่ากาเต้นก้อน
- ท่าเสือออกเหล่า - ท่าฟ้อนอุ่นมโนราห์ - ท่าตุ่นเข้าฮู - ท่าช้างชูงวง
- ท่าเกี่ยวข้าวในนา - ท่าช้างเทียมแม่ – ท่าฟ้อนเกี้ยวซู้
                2. ได้จากหมอลำเปลี่ยน วิมลสุข ประมาณ 10 ท่าได้แก่
- ท่าพรหมสี่หน้า - ท่าผู้เฒ่านั่งฟังธรรม -ท่าทศกัณฐ์โลมนาง - ท่าความเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน
- ท่านกเจ่าบินวน - ท่าสักสุ่ม - ท่านับเงินตรา - ท่าไถนา - ท่ากวยจับอู่
- ท่าหนุมานถวายแหวน
                3. ได้จากหมอลำเคน ดาหลา 8 ท่า ได้แก่
- ท่าแฮ้งหย่อนขา - ท่ากาตากปีก - ท่าหลีกแม่เมีย - ท่าปู่สิงหลาน
- ท่าลิงหลอกเจ้า - ท่าลายมวย - ท่าผู้เฒ่านั่งผิงไฟ – ท่าแข้แก่งหาง
                4.ได้จากหมอลำจันทร์เพ็ญ นิตะอินทร์ 4 ท่า ได้แก่
- ท่าพายเฮือส่วง - ท่าคนเข็นฝ้าย - ท่ายูงรำแพน – ท่างมปลาในน้ำ
                5.ได้จากหมอลำสุบรรณ พะละสูรย์ 6 ท่า ได้แก่
- ท่าลมพัดพร้าว - ท่าสาวลงท่ง - ท่าสาวแม่ฮ้างลงท่งถือหวิง - ท่าคนขาแหย่ง
- ท่ากินรีชมดอก – ท่าพิเภกถวยครู
                6 . ได้จากหมอลำผีฟ้าในพิธีกรรม 1 ท่า คือ
- ท่าเลี้ยงผีไท้
                กลอนลำแม่บทอีสาน
โดย หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน
แม่นว่านอนาย จั่งว่าฟังเด้อท่านทุกท่านที่รอฟัง บางทีกลอนบ่จังสิออกเป็นลอยฟ้อน
ทั้งโยะย่อนตามกลอนแอ่นฟัง เสียงแคนจ้าวๆยอขึ้นยกมือ
ท่าหนึ่งนั้น ชื่อพระนารายณ์ ยกแขนสีกายๆออกพรหมสี่หน้า
ท่านี้เผิ่นเอิ้นว่าทศกัณฐ์โลมนาง น้องมณโฑเอวบางลูบหลังลูบไหล่
มีท่าใหม่หย่างไปหย่างมาฮอดบ่หนีไกลตาเอิ้นช้างเทียมแม่
ยกมือขึ้นแก่แด่ท่าช้างชูงวง คือจั่งเอามือควงข้างพุ้นข้างพี่
ทำทรงนี้เอียงกานโยะย่อนเอิ้นว่า กาเต้นก้อน เทิงย้อนบ่เซา
เข้าท่านี้หยิกไหล่ลายมวย มีเทิงนวยเทิงแข็งคู่กันไปพร้อม ไผก็ยอมจั่งว่านอเฮาแล้ว มวยไทย ออกท่าขนมต้มผู้ให้ลายตั้งท่ามวย กวยขาซ้ายปัดป่ายขาหลัง บ่มีกลัวเกรงหยังท่ารำแนวนี้
ฟังทางพี้ยังมีท่าใหม่ ท่ามวยไทยกะแล้วยัง แฮ้งหย่อนขา
ท่าต่อมาเอิ้นว่า กาตาปีก
ฟ้อนจั่งซี้ฟ้อนหลีกแม่เมียให้ลูกเขยไปแหน่เอาไม้แหย่ไปนำ ข่อยสิไปฟังลำขอทางไปแหน่
คอยท่าฟังเด้อแม่ ลมพัดตีนภู เสียงมันดังวูๆ เอิ้น ลมพัดพร้าว
หนาวๆเนื้อคือ เสือออกเหล่า
ฟ้อนจั่งซี้ท่า เต่าลงหนอง
ฟ้อนจั่งซี้ ตีกลองกินเหล้า เทิงเมาเทิงฟ้อนนำกันเดินม่วน
ดังห่วนๆแห่บุญบั้งไฟ ฟ้อนกะฟ้อนบ่ไกลเขาเอิ้น คนขาแหย่ง
ยกมือขึ้นแป่งแซ่ง ตาขำตีงัว เอิ้นเป็นตาอยากหัวตาขำออกท่า
ฟังสิว่าท่าใหม่ยังมี จักสิดีบ่ดียังมีท่าใหม่ ท่านี่ ควายเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน เทิงคึกเทิงดันหลังขดหลังโก่ง
ท่านี้ สาวลงท่ง แก่งแขนนวยนาย ล่ะเทิงเอียงเทิงอายผู้สาวลงท่ง
ท่าเฮ็ดหลังโก่งๆ เกี่ยวข้าว ในนา คือกับคนงมปลาหลังขดหลังโก่ง
ลำกลอนฟ้อนยังมีอีกต่อ คอยถ่าฟังเด้อพ่อ ท่า ตุ่นเข้าฮู
ท่าต่อมาเอิ้นพิเพกถวยครู เฮ็ดมือแนวนี้
มีลายฟ้อนหลายอันฟ้อนคู่เอิ้นว่าฟ้อน เกี้ยวซู้ วนอ้อมใส่กัน
ท่าฟ้อนนั้นออกท่าวางแขนเอิ้นว่า ยูงรำแพน แอ่นแขนเลยฟ้อน
เทิงโยะย่อนคือแหลวบินเวิ่น เขาเอิ้นว่า แหลวเซิ่นเอาไก่น้อย สอยได้เวิ่นหนี
ฟ้อนจั่งซี้ทำท่าสวยๆ ทำทรงสีนวยๆ เอิ้นสาวประแป้ง
เถิงยามแล้งเขาว่า ลำเลี้ยงข่วง คือจั่งคนป่วงบ้าเดินหน้าอย่างไว ลำเลี้ยงไท้ลงข่วงเป็นฝูง เกินสนุกหนอลุงท่ารำแนวนี้
มีเสียงพร้อมคือ พายเฮือส่วง ยามน้ำล่วงเดือนสิบสอง ฟังเสียงฉาบเสียงกลองดังมาแปดแป่ง
ฟังสิแบ่งท่าฟ้อนออกไป เฮ็ดมือสีไวๆท่า กวยจับอู่
ฟ้อนจั่งซี้เอิ้นปู่สิงหลาน เป็นน่าสงสารเทิงฮิกเทิงฮ่อน
ฟังเบิ่งก่อนท่าผู้เฒ่านั่งฟังธรรม ปากะจ่มไปนำมุมมู้มุมมับ เบิ่งเพิ่นนับ ผิดแต่หลับตา
ท่าต่อมาฟ้อนหมอลำหมู่
ไปฮอดลำหมู่เอิ้นว่าลำเพลินนุ่งกระโปรงเขินๆเทิงลำเทิงเต้น เห็นไหมท่าลำเพลินออกท่ายกขาขึ้นท่านี้
กระดกซ้ายและขวา
มือไขว่คว้า ยกอยู่เทิงบน เขาเอิ้นหงส์บินวน เซิ่นบนเทิงฟ้า
หลับตาฟ้อนเดินสามถอยสี่ คันแม่นฟ้อนท่านี้ เมาเหล้าบ่ส่วงเซา
ท่านี้เจ้า ผู้เฒ่านั่งผิงไฟ ฮอดบ่หนีไปไกลยกมือขึ้นผ่าง
ยกมือขึ้นแล้วกะหย่างถอยไปถอยมา เทิงเล่นหูเล่นตาเอิ้น ลิงหลอกเจ้า
ฟังฉันเว้า เขาว่ารำลักสุ่มฮอดบ่มือจุ่มสักสุ่มหาปลา
ท่าต่อมาเอิ้น เกียจับไม้ใต้พุ่มหมากเล็บแมว
เทิงขาเทิงแอวสักกะรันตำข้าว ยามตอนเช้าสักกะรันเหยียบย่ำ
ท่าเฮ็ดหัวต่ำๆก้นขึ้นสูงๆ ท่านี้เด้อคุณลุง งมปลาในน้ำ
ยามงมได้หักคอเอามายัดใส่ข้องอยู่หนองน้ำท่งนา
รำท่านี้นกกระเจ่าบินวน ตามันเหลียวหาปลาทุ่งนาหนองม่อง
ท่านี้นวลนางน้อง กินรีชมดอก ออกมาชมเที่ยวเล่นดอกไม้กลิ่นหอม
พร้อมว่าแล้วยังมีท่าใหม่ยังมี นี่คนเข็นไหมแกว่งไวทางนี้หรือเข็นฝ้ายเดือนหงายลงข่วง พวกผู้สาวซ่ำน้อยคอยถ่าผู้บ่าวมา
ท่านี้สาวแม่ฮ้างลงท่งถือหวิง ไปเก็บหอยเก็บปูฮ้องหาเอากุ้ง จับหวิงได้เอาลงไปแกว่ง ตักข้างขวาข้างซ้ายหากุ้งอยู่หนอง
ท่านี้เด้อพี่น้องคือฮ้อง ไถนานี่คือลุงทิดสาไถนาหนองม่อง เทิงฮือเทิงฮ้องเชือกก็ฟาดไปนำ ปากกะจ่มพึมพำลุงสาลาวเหนื่อย
ฟ้อนบ่เมื่อยนี่คือจ้ำลายมวย ยกมือขึ้นถวยเวทีสี่ข้าง
ท่าเฮ็ดมือห่างๆนี่คือ นับเงินตรา ผู้นั่นบาทหนึ่ง ผู้ฟังบาทหนึ่ง ให้หมอแคนบาทหนึ่ง
ท่ากู้จู้กึ่งจึ่งนี่คือหนุมาน ทั้งหมอบเทิงคลานยอแหวนถวยไท้ เห็นหรือไม่หนุมานถวายแหวน ลำฟ้อนแบบใหม่
ได้เรียงไล่ท่าฟ้อนคือ แข้แก่งหาง ฮอดบ่ได้หยับหย่างไปไส แก่งหางไปหางมาท่ารำแนวนี้
มีลายฟ้อนมโนราห์ฟ้อนหมู่ แต่นางอยู่บ่ได้บินเจ้ยเวิ่นหนี ฟ้อนจั่งนี่ ท่าอุ่นมโนราห์ พรรณนาเป็นตอนบ่อนพอฟังได้ จำเอาไว้ รำมีหลายท่า ความเป็นมาจั่งซี้จำไว้อย่าหลง อย่าหลง เอ้ย จำไว้อย่าหลง
                จากกลอนลำแม่บทอีสานจะเห็นได้วามีชื่อเรียกท่ากำกับทั้ง 48 ท่า ดังนี้
1. ท่าพรหมสี่หน้า 2. ท่าทศกัณฐ์โลมนาง 3. ท่าช้างเทียมแม่ 4. ท่าช้างชูงวง 5. ท่ากาเต้นก้อน
6. ท่าหยิกไหล่ลายมวย 7. ท่าแฮ้งหย่อนขา 8. ท่ากาตากปีก 9. ท่าหลีกแม่เมีย 10. ท่าลมพัดพร้าว
11. ท่าเสือออกเหล่า 12. ท่าเต่าลงหนอง 13. ท่าตีกลองกินเหล้า 14. ท่าคนขาแหย่ง 15. ท่าตาขำตีงัว
16. ท่าความเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน 17. ท่าสาวลงท่ง 18. ท่าเกี่ยวข้าวในนา 19. ท่าตุ่นเข้าฮู
20. ท่าพิเภกถวยครู 21. ท่าฟ้อนเกี้ยวซู้22. ท่ายูงรำแพน 23. ท่าอีแหลวบินเซิ่นเอาไก่น้อย
24. ท่าสาวน้อยประแป้ง 25. ท่าเลี้ยงผีไท้ 26. ท่าพายเฮือส่วง27. ท่ากวยจับอู่ 28. ท่าปู่สิงหลาน
29. ท่าผู้เฒ่าฟังธรรม 30. ท่าลำเพลิน 31. ท่าหงส์บินเวิ่น32. ท่าคนเมาเหล้า 33. ท่าผู้เฒ่านั่งผิงไฟ
34. ท่าลิงหลอกเจ้า 35. ท่าสักสุ่ม 36. ท่าอีเกียจับไม้ 37. ท่าตำข้าว 38. ท่างมปลาในน้ำ 39. ท่านกเจ่าบินวน 40. ท่ากินรีชมดอก 41. ท่าคนเข็นฝ้าย 42. ท่าแม่ฮ้างลงท่งถือหวิง 43. ท่าไถนา
44. ท่าลายมวย 45. ท่านับเงินตรา 46. ท่าหนุมานถวายแหวน 47. ท่าแข้แก่งหาง 48. ท่าอุ่นมโนราห์
                การแต่งกาย
การฟ้อนแม่บทอีสานนั้นจะใช้ฟ้อนเดี่ยวหรือฟ้อนคู่ชายหญิงก็ได้
ชาย สวมเสื้อย้อมครามแขนสั้น นุ่งโสร่งไหม ใช้ผ้าขิดสีแดงมัดเอว
หญิง แต่งกายคล้ายหมอลำเรื่อง คือ ผมเกล้ามวยสูงทัดดอกไม้ สวมมงกุฎเพชร ห่มสไบแพรวาสีเหลืองเฉียง
ไหล่ ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าซิ่นไหมมัดหมี่ต่อตีนจก เครื่องประดับเช่น สร้อย ต่างหู เข็มขัด กำไล

แหล่งที่มาของข้อมูล 


วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความที่ 3 วัฒนธรรมด้านภาษาของภาคอีสาน


วัฒนธรรมด้านภาษาของภาคอีสาน

วัฒนธรรมด้านภาษาของภาคอีสาน


ภาษาประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน
ภาคอีสาน เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลาง
การเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆ
ภาษาหลักของภาคนี้ 
คือ ภาษาอีสาน แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ อีกมาก เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น
ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา ดนตรีหมอลำ และศิลปะการฟ้อนรำที่เรียกว่า เซิ้ง เป็นต้น
ภาคอีสาน มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 170,226 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ หนี่งในสาม ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย มีเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึง เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล
ภาษาไทยถิ่นอีสาน 
เป็นภาษาไทยถิ่นที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้เคียงกับภาษาลาว ในอดีตเคยเขียนด้วยอักษรธรรมล้านช้างหรืออักษรไทยน้อย ปัจจุบันเขียนด้วยอักษรไทย มีพยัญชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือ
ตัวอย่างภาษาอีสาน
              ภาษาอีสาน - แปลเป็นภาษากลาง
              กะซาง - ช่างเถอะ
              กินเข่าสวย - รับประทานอาหารกลางวัน
              กินดอง - เลี้ยงฉลองสมรส
              กะจังว่า - ก็นั่นน่ะสิ
              เกี้ยงตั๊บ - หมดเกลี้ยง
              กัดแข้วบืน - กัดฟันสู้
              กะด้อ กะเดี้ย - อะไรกันนักหนา
              เกิบ – รองเท้าแตะ
ภาษาไทยถิ่นอีสาน 
เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นภาษาลาวสำเนียงหนึ่ง ในสำเนียงภาษาถิ่นของภาษาลาวซึ่งแบ่งเป็น 6 สำเนียงใหญ่ คือ:
              1.ภาษาลาวเวียงจันทน์ ใช้ในท้องที่ เวียงจันทน์ บอลิคำไซ และในประเทศไทยท้องที่ จ.ชัยภูมิ หนองบัวลำภู หนองคาย (อ.เมือง ศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ โพนพิสัย) ขอนแก่น (อ.ภูเวียง ชุมแพ สีชมพู ภูผาม่าน หนองนาคำ เวียงเก่า หนองเรือบางหมู่บ้าน) ยโสธร (อ.เมือง ทรายมูล กุดชุม บางหมู่บ้าน) อุดรธานี (อ.บ้านผือ เพ็ญ บางหมู่บ้าน)
              2.ภาษาลาวเหนือ ใช้กันในท้องที่ เมืองหลวงพระบาง ไซยะบูลี อุดมไซ จ.เลย อุตรดิตถ์ (อ.บ้านโคก น้ำปาด ฟากท่า) เพชรบูรณ์ (อ.หล่มสัก หล่มเก่า น้ำหนาว) ขอนแก่น (อ.ภูผาม่าน และบางหมู่บ้านของ อ.สีชมพู ชุมแพ) ชัยภูมิ (อ.คอนสาร) พิษณุโลก (อ.ชาติตระการ และนครไทยบางหมู่บ้าน) หนองคาย (อ.สังคม) อุดรธานี (อ.น้ำโสม นายูง บางหมู่บ้าน)
              3.ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้กันในท้องที่เมืองเซียงขวาง หัวพัน ในประเทศไทยท้องที่บ้านเชียง อ.หนองหาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และบางหมู่บ้าน ใน จ.สกลนคร หนองคาย และยังมีชุมชนลาวพวนใน ภาคเหนือบางแห่งในจังหวัด สุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้น
              4.ภาษาลาวกลาง แยกออกเป็นสำเนียงถิ่น 2 สำเนียงใหญ่ คือ ภาษาลาวกลางถิ่นคำม่วน และถิ่นสะหวันนะเขด ถิ่นคำม่วน จังหวัดที่พูดในประเทศไทย เช่น จ.นครพนม สกลนคร หนองคาย (อ.เซกา บึงโขงหลง บางหมู่บ้าน) ถิ่นสะหวันนะเขด จังหวัดที่พูดมีจังหวัดเดียว คือ จ.มุกดาหาร
              5.ภาษาลาวใต้ ใช้กันในท้องที่แขวงจำปาสัก สาละวัน เซกอง อัตตะปือ จังหวัดที่พูดในประเทศไทย จ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร
              6.ภาษาลาวตะวันตก ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ท้องที่ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และบริเวณใกล้เคียงมลฑลร้อยเอ็ด ของประเทศสยาม
ในอดีตเคยเขียนด้วยอักษรธรรมล้านช้างสำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะหรือพระพุทธศาสนา หรือเขียนด้วยอักษรไทยน้อยสำหรับเรื่องราวทางโลก ปัจจุบันเขียนด้วยอักษรไทย มีพยัญชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือ
ประเด็นการสะกดคำภาษาอีสาน
การสะกดภาษาอีสานโดยมากเท่าที่พบในโอกาสต่าง ๆ จะสะกดคำที่เป็นคำไทยตามแบบไทย แต่สะกดคำที่เป็นคำลาวตามเสียงอ่าน เนื่องจากไม่เคยมีแหล่งอ้างอิงตัวสะกดเป็นแบบแผนให้เห็น ซึ่งก็จะทำให้เกิดความลักลั่น ที่แต่ละคำใช้อักขรวิธีต่างกัน รวมทั้งผันแปรไปมาตามสำเนียงหรือวิธีถ่ายเสียงของคนเขียน ยกตัวอย่างเช่น คำว่า "หม้ำ" ที่หมายถึงอาหารที่คล้ายไส้กรอก แต่ทำจากตับวัวหรือควาย ใส่ข้าวและเครื่องเทศ สีจะเป็นสีดำ คำนี้ ภาษาอีสานจะออกเสียงเป็นเสียงเอกว่า "หม่ำ" เหมือนกับที่ออกเสียงคำว่า "หม้อ" ว่า "หม่อ" แต่จะเห็นการสะกดโดยทั่วไปเป็น "หม่ำ" ตามเสียงอ่าน ทีนี้ เมื่อเขียนเป็นประโยคว่า "เอาหม่ำไปใส่หม้อ" ถ้าจะอ่านทั้งประโยคเป็นภาษาอีสานตามตัวสะกดก็จะอ่านได้เป็น "เอ่ามำไป่ไซหม่อ" ซึ่งทำให้เสียงของ "หม้ำ" กลายเป็น "มำ" (สามัญสูง) แทนที่จะเป็น "หม่ำ" ตามเสียงที่ถูกต้อง และถ้าจะอ่านให้ถูกต้อง ผู้อ่านจะต้องแยกแยะเอาเองจากบริบท ว่าคำไหนเป็นคำไทย คำไหนเป็นคำลาว ซึ่งจะเพิ่มความซับซ้อนในการอ่านอย่างมาก และคำโดยส่วนใหญ่จะคลุมเครือ เพราะภาษาไทยและลาวมีคำที่ใช้เหมือนกันมากมาย เช่นคำว่า "หม้อ" ในประโยคตัวอย่าง ก็มีความเป็นลาวพอ ๆ กับที่เป็นคำไทย การไปแยกแยะชัดเจนแล้วอ่านแบบคำไทยจึงไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าเขียนเป็น "เอาหม้ำไปใส่หม้อ" ผู้อ่านสามารถอ่านออกเสียงด้วยหลักการเดียวกันทุกคำได้อย่างถูกต้องโดยไม่ต้องแยกแยะ และนี่น่าจะเป็นการสะกดรูปคำที่ถูกต้อง เราอ่านคำว่า "หม้อ" ด้วยหลักการไหน ก็น่าจะอ่านคำว่า "หม้ำ" ด้วยหลักการเดียวกัน
เมื่อตรวจสอบกับพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็ปรากฏว่าท่านเก็บคำว่า "หม้ำ" ในรูปไม้โท
ตัวอย่างการผันวรรณยุกต์ดังกล่าว คงพอทำให้เห็นภาพ ว่าผมต้องการเสนอการสะกดคำภาษาอีสานแบบไหน แต่ถ้าจะให้ครอบคลุมประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากการผันวรรณยุกต์แล้ว ผมขอเสนอให้ใช้ตัวสะกดภาษาลาวปัจจุบันเป็นแนวทาง ด้วยเหตุผลของรากแห่งวัฒนธรรมอีสานตามประวัติศาสตร์
ในยุคประวัติศาสตร์นั้น พื้นที่ภาคอีสานของไทยเคยถูกครอบครองโดยชนชาติขอมในยุคที่ขอมเรืองอำนาจ แล้วก็เปลี่ยนมือมาเป็นอาณาจักรล้านช้างของลาวในเวลาต่อมา ก่อนที่จะมาขึ้นตรงต่อสยามเมื่อกรุงศรีอยุธยาแผ่อำนาจขึ้นมา แต่ตลอดสมัยอยุธยานั้น แม้ในทางการปกครอง หัวเมืองต่าง ๆ ในอีสานจะขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา แต่ก็อยู่ในฐานะคล้ายเมืองประเทศราช ในทำนองเดียวกับเชียงใหม่และนครศรีธรรมราช โดยประชากรส่วนใหญ่มาจากลาวล้านช้าง และยังมีการอพยพเข้ามาเพิ่มเติมอีกหลายระลอกในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทั้งจากภัยสงครามระหว่างลาวฝ่ายต่าง ๆ ด้วยกันเอง และจากการกวาดต้อนของราชสำนักไทย ดังนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว ชาวอีสาน โดยเฉพาะอีสานตอนบน ก็สืบเชื้อสายและวัฒนธรรมมาจากลาวล้านช้างนั่นเอง วัฒนธรรมต่าง ๆ จึงกลมกลืนกันอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นภาษา ดนตรี การละเล่น ขนบธรรมเนียมประเพณี และคติความเชื่อต่าง ๆ และถ้าจะเข้าใจเรื่องภาษาพูดและภาษาเขียนของอีสาน ก็จำเป็นต้องศึกษาเทียบเคียงกับภาษาลาวเป็นหลัก
ถ้าพูดถึงตัวเขียนของภาษาอีสานดั้งเดิม จะใช้อักษรสองชนิด คือ อักษรไทน้อย ซึ่งมีรากเดียวกับอักษรลาวในปัจจุบัน และ อักษรธรรม ซึ่งมีรากร่วมกับอักษรธรรมล้านนา โดยอักษรธรรมมักจะใช้ในคัมภีร์ทางศาสนา แต่ปัจจุบันหาผู้ที่รู้อักษรทั้งสองแบบนี้ได้ยากแล้ว จะหาหลักฐานได้ก็แต่จากจารึกโบราณเท่านั้น ดังนั้น แหล่งหนึ่งที่จะใช้สืบเสาะอ้างอิงภาษาเขียนของอีสานได้ ก็จากภาษาลาวปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ภาษาลาวปัจจุบันก็ได้ผ่านการปฏิวัติครั้งใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ทำให้มีการลดจำนวนอักษรลง พร้อมตัดความซับซ้อนต่าง ๆ ลงจนเหลือเพียงการเขียนตามเสียงอ่าน การอ้างอิงจึงทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังถือเป็นแหล่งที่ช่วยได้มากที่สุดในขณะนี้ หากจะให้ได้ภาษาเขียนที่แท้จริงของอีสาน ความหวังหนึ่งอาจจะอยู่ที่การศึกษาและถ่ายทอดอักษรไทน้อยและอักษรธรรมอีสานโดยตรง โดยมี โรงเรียนสว่างวีระวงศ์ เป็นตัวอย่าง
อย่างไรก็ดี การเขียนที่สะดวกที่สุดสำหรับชาวอีสานคงเป็นการใช้อักษรไทย โดยผมเองมีความเห็นว่า น่าจะต้องอ้างอิงตัวเขียนภาษาลาวเป็นหลัก มากกว่าการถอดเสียงอ่านผ่านสำเนียงกรุงเทพฯ (ขอใช้คำว่า "สำเนียงกรุงเทพฯ" เนื่องจากเมื่อพูดถึงภาษาถิ่นแล้ว จำเป็นต้องเจาะจงถิ่น เพราะแม้ในภาคกลางเอง ก็มีสำเนียงท้องถิ่นที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ มากมาย เช่น สำเนียงสุพรรณบุรี สำเนียงเพชรบุรี สำเนียงอยุธยา) อย่างที่พบเห็นกันทั่วไป โดยประเด็นสำคัญที่เห็นได้ชัดคือเรื่องการผันวรรณยุกต์ดังที่กล่าวไปแล้ว นอกจากเรื่องความลักลั่นของการอ่านแล้ว ยังมีปัญหาความลักลั่นของการเขียนด้วย เพราะการใส่เสียงวรรณยุกต์ลงในตัวเขียนจะขึ้นอยู่กับสำเนียงท้องถิ่นของผู้เขียน เนื่องจากภาษาอีสานมีหลายสำเนียง สำเนียงขอนแก่นก็ต่างจากสำเนียงอุบลฯ เลย หรือภูเวียง เป็นต้น

แหล่งที่มาของข้อมูล


วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทความที่ 2 การแต่งกายของภาคอีสาน

การแต่งกายของภาคอีสาน
การแต่งกายประจำภาคอีสาน

ภาค อีสาน
             ผู้ชาย ส่วนใหญ่นิยมสวมเสื้อแขนสั้นสีเข้มๆ ที่เราเรียกว่า "ม่อห่อม" สวมกางเกงสีเดียวกับเสื้อจรดเข่า นิยมใช้ผ้าคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า
             ผู้หญิง การแต่งกายส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอทั้งตัว สวมเสื้อคอเปิดเล่นสีสัน ห่มผ้าสไบเฉียง สวมเครื่องประดับตามข้อมือ ข้อเท้าและคอ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
             ภาษาภาคนี้สำเนียงคล้ายภาษาลาว ซึ่งเรามักจะเรียกว่าเป็นภาษา อีสานภาษาอีสานเช่น เว้า (พูด) แซบ (อร่อย) เคียด (โกรธ) นำ (ด้วย)
             การแต่งกายส่วนใหญ่ใช้ผ้าทอมือ ซึ่งทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย และผ้าไหม ผ้าพื้นเมืองอีสาน ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิง ในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ
2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน
             ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม
กลุ่มอีสานใต้
             คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว
เครื่องแต่งกายสำหรับภาคอีสาน
ผ้าพื้นเมืองอีสาน
             ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ
2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน
             ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม
กลุ่มอีสานเหนือ
             เป็นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง และยังมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ เช่น ข่า ผู้ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสาน ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากฝ้ายและไหม แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกัยในแถบอีสานเหนือคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา
             ผ้ามัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่ใช้กรรมวิธีในการย้อมสีที่เรียกว่า การมัดย้อม (tie dye) เพื่อทำให้ผ้าที่ทอเกิดเป็นลวดลายสีสันต่างๆ เอกลักษณ์อันโดดเด่นก็อยู่ตรงที่รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามบริเวณของลวดลายที่ผูกมัด และการเหลื่อมล้ำในตำแหน่งต่างๆ ของเส้นด้ายเมื่อถูกนำขึ้นกี่ในขณะที่ทอ ลวดลายสีสันอันวิจิตรจะได้มาจากความชำนาญของการผูกมัดและย้อมหลายครั้งในสีที่แตกต่าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
             การทอผ้ามัดหมี่จะมีแม่ลายพื้นฐาน 7 ลาย คือ หมี่ขอ หมี่โคม หมี่บักจัน หมี่กงน้อย หมี่ดอกแก้ว หมี่ข้อและหมี่ใบไผ่ ซึ่งแม่ลายพื้นฐานเหล่านี้ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เช่น จากลายใบไม้ ดอกไม้ชนิดต่างๆ สัตว์ เป็นต้น ผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เขตอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อำเภอบ้านเขวา จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น
             ผ้าขิด หมายถึงผ้าที่ทอโดยวิธีใช้ไม้เขี่ยหรือสะกิดซ้อนเส้นยืนขึ้นตามจังหวะที่ต้องการ เว้นแล้วสอดเส้นด้ายพุ่งให้เดินตลอด การเว้นเส้นยืนถี่ห่างไม่เท่ากันจะทำให้เกิดลวดลายต่างๆ ทำนองเดียวกับการทำลวดลายของเครื่องจักสาน จากกรรมวิธีที่ต้องใช้ไม้เก็บนี้จึงเรียกว่า การเก็บขิด มากกว่าที่จะเรียก การทอขิด ผ้าขิดที่นิยมทอกันมีอยู่ 3 ชนิด ตามลักษณะประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก คือ
             ผ้าตีนซิ่น เป็นผ้าขิดที่ทอเพื่อใช้ต่อชายด้านล่างของผ้าซิ่น เนื่องจากผ้าทอพื้นเมืองจะมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดผืนผ้า ดังนั้นเวลานุ่งผ้าซิ่นผ้าจะสั้นจึงต่อชายผ้าที่เป็นตีนซิ่นและหัวซิ่นเพื่อให้ยาวพอเหมาะ
             ผ้าหัวซิ่น ก็เช่นเดียวกันเป็นผ้าขิดที่ใช้ต่อชายบนของผ้าซิ่น
             ผ้าแพรวา มีลักษณะการทอเช่นเดียวกับผ้าจก แพรวา มีความหมายว่า ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายที่ทอเป็นผืนมีความยาวประมาณวาหนึ่งของผู้ทอ ซึ่งยาวประมาณ 1.5-2 เมตร
             ผ้าแพรมน มีลักษณะเช่นเดียวกับแพรวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นิยมใช้เช่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวผู้ไทนิยมใช้โพกผม
             ผ้าลายน้ำไหล ผ้าลายน้ำไหลนี้ที่มีชื่อเสียงคือ ซิ่นน่าน (ของภาคเหนือ) มีลักษณะการทอลวดลายเป็นริ้วใหญ่ๆ สลับสีประมาณ 3 หรือ 4 สี แต่ละช่วงอาจคั่นลวดลายให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผ้าลายน้ำไหลของอีสานก็คงจะได้แบบอย่างมาจากทางเหนือ โดยทอเป็นลายขนานกับลำตัว และจะสลับด้วยลายขิดเป็นช่วงๆ
             ผ้าโสร่ง เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้ชาย ลักษณะของผ้าโสร่งจะทอด้วยไหมหรือฝ้ายมีลวดลายเป็นตาหมากรุกสลับเส้นเล็ก 1 คู่ และตาหมากรุกใหญ่สลับกัน กว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 เมตร เย็บต่อกันเป็นผืน

กลุ่มอีสานใต้
             คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว
             ผ้ามัดหมี่ ในกลุ่มอีสานใต้ก็มีการทอเช่นเดียวกันนิยมใช้สีที่ทำเองจากธรรมชาติเพียงไม่กี่สี ทำให้สีของลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มไทยลาว แต่ที่เห็นเด่นชัดในกลุ่มนี้คือการทอผ้าแบบอื่นๆ เพื่อการใช้สอยกันมากเช่น ผ้าหางกระรอก จะมีสีเลื่อมงดงามด้วยการใช้เส้นไหมต่างสีสองเส้นควั่นทบกันทอแทรก
             ผ้าปูม เป็นผ้าที่มีลักษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ต่างจากถิ่นอื่น
             ผ้าเซียม (ลุยเซียม) ผ้าไหมที่นิยมใช้ในกลุ่มผู้สูงอายุ
             ผ้าขิด การทอผ้าขิดในกลุ่มอีสานใต้มีทั้งการทอด้วยผ้าฝ้ายและผ้าไหม แต่ส่วนมากมักจะใช้ต่อเป็นตีนซิ่นในหมู่คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี เพราะชาวบ้านทั่วไปไม่นิยมใช้กัน ลักษระการต่อตีนซิ่นของกลุ่มนี้นิยมใช้เชิงต่อจากตัวซิ่นก่อน แล้วจึงใช้ตีนซิ่นต่อจากเชิงอีกทีหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มไทยลาวอย่างเด่นชัด

ลักษณะผ้าพื้นเมืองอีสาน
             ลวดลายผ้าพื้นเมืองอีสานทั้งสองกลุ่มนิยมใช้ลายขนานกับตัว ซึ่งต่างจากผ้าซิ่นล้านนาที่นิยมลายขวางตัวและนุ่งยาวกรอมเท้า ในขณะที่ชาวไทยลาวนิยมนุ่งผ้าซิ่นสูงระดับเข่าแต่ไม่สั้นเหมือนผู้หญิงเวียงจันทร์และหลวงพระบาง การต่อหัวซิ่นและตีนซิ่นจะต่อด้วยผ้าชนิดเดียวกัน ส่วนหัวซิ่นนิยมด้วยผ้าไหมชิ้นเดียวทอเก็บขิดเป็นลายโบคว่ำและโบหงายมีสีแดงเป็นพื้น ส่วนการต่อตะเข็บและลักษณะการนุ่งจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปจากภาคอื่นคือ การนุ่งซิ่นจะนุ่งป้ายหน้าเก็บซ่อนตะเข็บ ยกเว้นกลุ่มไทยเชื้อสายเขมรในอีสานใต้ ซึ่งมักจะทอริมผ้าเป็นริ้วๆ ต่างสีตามแนวตะเข็บซิ่น จนดูกลมกลืนกับตะเข็บและเวลานุ่งจะให้ตะเข็บอยู่ข้างสะโพก

การใช้ผ้าสำหรับสตรีชาวอีสาน
             ผ้าซิ่นสำหรับใช้เป็นผ้านุ่งของชาวอีสานนั้นจะมีลักษณะการใช้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
             - ผ้าซิ่นสำหรับผู้หญิงที่มีสามีแล้ว จะใช้ผ้าสามชิ้นมาต่อกันโดยแบ่งเป็นผ้าหัวซิ่น ผ้าตัวซิ่น และผ้าตีนซิ่น ผ้าแต่ละชิ้นมีขนาดและลวดลายต่างกัน
             -ผ้าหัวซิ่น จะมีขนาดกว้างประมาณ 20 ซม. ยาวเท่ากับผ้าซิ่น มีลวดลายเฉพาะตัว คือ ทอเป็นลายขวางสลับเส้นไหมแทรกเล็กๆ สลับสีสวยงาม
             -ส่วนตัวซิ่น คือส่วนกลางของผ้าซิ่นมีความกว้างมากกว่าส่วนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเท่าฟืมที่ใช้ทอ ซึ่งนิยมทอเป็นลายมัดหมี่ ส่วนตีนซิ่น คือส่วนล่างของผ้าซิ่นจะมีความกว้างเพียง 10 ซม. และยาวเท่ากับความยาวของผ้าซิ่น เมื่อต่อเข้ากับตัวซิ่นแล้วลายจะเป็นตรงกันข้ามกับผ้าหัวซิ่น ความงามอยู่ที่การสลับสีส่วนใหญ่จะเลียนแบบจากลวดลายของสัตว์ เช่น ลายงูทำเป็นลายปล้องสีเหลืองและดำ
             -ผ้าซิ่นสำหรับหญิงสาว จะเป็นผ้าซิ่นมัดหมี่เหมือนกันแต่เป็นผืนเดียวกันตลอด ใช้วิธีการมัดหมี่เป็นดอกและลวดลายติดต่อแล้วทอเป็นผืนเดียวกันตลอด ในผืนซิ่นจะมีลายที่ริมขอบด้านล่างในลักษณะเชิงซิ่นลวดลายส่วนใหญ่ทั้งตัวซิ่นและเชิงนิยมใช้ลายรูปสัตว์ เช่น ไก่ฟ้า หงส์ทอง

แหล่งมี่มาของข้อมูล
http://student.nu.ac.th/isannu/province/isan.htm
http://eventsbanrakthai.blogspot.com/


วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทความที่ 1 อาชีพหลักของชาวอีสาน

อาชีพหลักของชาวอีสาน

อาชีพหลักของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
             ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ของไทย ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช
บทนำ
             ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ของไทย ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 170,226 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ หนี่งในสาม ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย มีเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึง เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล


             การเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆ
             ชาวอีสานส่วนใหญ่มีอาชีพทางเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา เพราะฉะนั้นหลังฤดูการเก็บเกี่ยวชาวอีสานก็จะว่างจากการทำงานก็จะทำอาชีพรอง เช่น การทอผ้า การจักสาน การทอเสื่อ ฯลฯ ซึ่งพอจะทำให้มีรายได้เสริมเพิ่มขึ้นได้ อาชีพรองที่ชาวอีสานทำกันในแทบทุกจังหวัดของภาคอีสาน คือ การทอผ้า ดังนั้นชุดฟ้อนของภาคอีสานจึงมีชุดฟ้อนศิลปาชีพที่เกี่ยวกับการทอผ้ามากที่สุด เช่น รำตำหูกผูกขิด เซิ้งสาวไหม ฟ้อนเก็บฝ้าย ฟ้อนเข็นฝ้าย และฟ้อนแพรวา ฟ้อนอาชีพจึงเป็นการอนุรักษ์อาชีพของชาวอีสาน และเป็นการเผยแพร่ให้คนในท้องถิ่นอื่นเห็นความสำคัญของหัตถกรรมพื้นบ้านอีกด้วย ฟ้อนศิลปาชีพอีสานมีหลายชุดด้วยกัน


อาชีพทำนา




การทำไร่

             มันสำปะหลัง (Cassava : Manihot esculenta) พืชอาหารของไหมป่าอีรี่ กำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นจากพืชอาหารสัตว์ กลายมาเป็นพืชพลังงานที่สำคัญในการผลิต เอทานอลเพื่อใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน เรียกว่า แก็สโซฮอล์เพื่อลดการสูญเสียเงินตราให้ต่างประเทศ จากการนำเข้าน้ำมันซึ่งนับวันจะมีราคาแพงมากยิ่งขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในหลักการของโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากพืช เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548 ต่อมาในปี 2545 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการพิจารณาอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิต และจำหน่ายเอทานอลเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ 4 โรงงาน ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ 4 โรงงาน บริษัท ผลิตเอทานอล จากมันสำปะหลัง 1โรงงาน ที่มีกำลังการผลิต 130,000 ลิตรต่อวัน ทำงาน 330 วันต่อปี ใช้หัวมันสำปะหลัง 750 – 800 ตันต่อวัน หรือประมาณ 250,000 ตัน ต่อปี ต้องใช้พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังถึง 100,000 ไร่ ทราบว่ากำลังมีการขออนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังและอ้อยอีก 18 โรงงานถ้าเป็นโรงงานที่ใช้มันสำปะหลังอีก 50 % หรือ 9 โรงงาน จะต้องใช้พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังถึง 900,000 ไร่ รวมเป็น 1 ล้านไร่ ในขณะที่ประเทศมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 6.9 ล้านไร่ ในปี 2547 เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ และผลผลิตส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการส่งออก ดังนั้นถ้าเราต้องการปลูกมันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอล และอาหารสัตว์ดังกล่าว จะต้องใช้พื้นที่ ประมาณ 8 ล้านไร่ พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสานและภาคตะวันออก สำหรับจังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังรวมทั้งสิ้น 336,798 ไร่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีใบมันสำปะหลังเป็นผลพลอยได้เพื่อใช้เลี้ยงไหมป่าจำนวนมหาศาล จากการศึกษาพบว่าถ้าเราเก็บใบมันสำปะหลังน้อยกว่า 30 % ของใบทั้งหมดที่อยู่บนต้นจะไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต หัวมันสำปะหลัง การเลี้ยงไหมป่า 20,000 ตัว (1 กล่อง) จะใช้ใบมันสำปะหลัง 600 – 700 กิโลกรัม (เก็บจากแปลงมันสำปะหลัง 2 ไร่) สามารถเลี้ยงได้ 3 ครั้ง ต่อปี ดังนั้นถ้าเราเลี้ยงไหมป่าอีรี่ จากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังเพียง 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดหรือ 2 ล้านไร่ จะเลี้ยงไหมป่าได้ถึง 1 ล้านกล่องต่อครั้ง หรือ 3 ล้านกล่องต่อปี ได้ผลผลิตรังไหมป่าประมาณ 105,000 ตัน สาวเป็นเส้นใยได้ประมาณ 7,500 ตัน มูลค่า 7,500 ล้านบาท ในจังหวัดมหาสารคาม ถ้ามีการเลี้ยงไหมอีรี่ จากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังเพียงครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดจะได้ผลิตเส้นไหมป่า ประมาณ 884 ตัน มีมูลค่าถึง 884 ล้านบาท
ในอนาคตจึงคิดว่า การเลี้ยงไหมป่าอีรี่เป็นอาชีพเสริมของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เป็นอาชีพหลัก เพราะการปลูกมันสำปะหลังเกษตรกรจะมีเวลาว่างมากพอระหว่างรอผลผลิตหัวมันสำปะหลังเพื่อเลี้ยงไหมป่า เมื่อมีความหวังในการสร้างเงินจากเรื่องนี้ ศูนย์นวัตกรรมไหม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คงนิ่งดูดายไม่ได้ ที่จะใช้โอกาสนี้มาพัฒนาการเลี้ยงไหมป่าให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรในชุมชนต่างๆ ที่อยู่ท่ามกลางไร่มันสำปะหลัง อันกว้างใหญ่ของจังหวัดมหาสารคาม ร่วมสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชาวอีสานอย่างยั่งยืนอีกทางหนึ่ง

ทอผ้าไหม


แหล่งที่มาของข้อมูล